สบายดี...หลวงพระบาง '๕๖
๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖... "เป็นครั้งแรกที่ได้เริ่มลงมือเขียนบล็อก และมี Blogger เป็นของตัวเองกับเค้าบ้าง ^ - ^ และก็เป็นอีกครั้งที่มีโอกาสได้ออกเดินทางไปเที่ยวในต่างแดน... ซึงจุดหมายในครั้งนี้... ก็ไม่ใกล้ ไม่ไกลจากบ้านเรามากนัก...ตัวผมเองตั้งใจว่าจะออกเดินทางไปท่องเที่ยวในทุกๆ ปี ถ้ามีโอกาส (แล้วแต่สถานะการณ์)
กับเพื่อนร่วมทางอีกคน นั่นก็คือ "ป้าแพซ... ส่วนผมก็ลุงจ่า" ซึ่งเราก็ตกลงกันว่า... จะออกเดินทาง
ไปกัน ๒ คน แบบ Backpacker... เพื่อออกไปเปิดหู เปิดตา ดูโลก และหามุมมองใหม่ๆ ให้กับชีวิตบ้าง และก็ไปศึกษาดูวิถีชีวิตเพื่อนบ้านในต่างแดน รวมถึงชาร์ตไฟให้กับตัวเอง หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกับการทำงานมาตลอดทั้งปี
และจะเก็บเรื่องราวและความทรงจำต่างๆ มาเขียนบันทึกไว้ เผื่อว่าวันข้างหน้า จะกลับมาย้อนดูช่วงชีวิตที่ผ่านมา ไว้เป็นความทรงจำดีๆ ตลอดไป...
"อนาคตไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง... แต่วันนี้มีเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วยกัน ก็สุขใจแล้ว"
by...ลุงจ่าและปาป้า
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หลังจากทำงานมาจนสมองตึงไปหมด...เราหาช่วงวันหยุดยาวไว้ซักสามถึงสีวัน โดยมีพิกัดการเดินทางครั้งนี้ที่ สปป.ลาว เพื่อนบ้านเรือนเคียงของเรานั่นเอง... เราวางแผนการเดินทางครั้งนี้ไว้ 4 วัน
3 คืน โดยตั้งเป้าหมายว่า วันแรกจะพักค้างคืนที่เวียงจันทน์... วันที่สองจะนั่งเครื่องบิน โดยสายการบินลาวแอร์ลายน์ไปต่อที่หลวงพระบาง... ส่วนวันที่สามจะนั่งรถย้อนกลับมาที่วังเวียง... ก่อนจะนั่งรถกลับข้ามฝั่งมาที่ฝั่งไทย...
เริ่มต้นการเดินทางครั้งนี้ เราเลือกเดินทางโดยสายการบินแอร์เอเชีย โดยจองตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพฯ - อุดรธานี ไปลงที่สนามบินอุดร แล้วค่อยนั่งรถไปที่ด่านหนองคาย ต่อจากนั้นค่อยข้ามต่อไปเมืองเวียงจันทน์ สปป.ลาว...
บรรยากาศยามเช้าที่สนามบินดอนเมือง กับสายการบินแอร์เอเซีย...
เราเริ่มออกเดินทางแต่เช้าตรู่ จากสนามบินดอนเมือง ไฟท์ 7.10 ถึง สนามบินอุดรธานี 8.10
ภาพบรรยากาศบนความสูงเท่าไหร่ไม่รู้ แต่รู้ว่าบรรยากาศดีมาก
ใช้เวลาประมาณ1ชั่วโมงก็ถึงท่าอากาศยานจังหวัดอุดรธานีแล้ว...
อากาศดีแจ่มใส ในช่วงเดือนพฤษภาคม (แถมร้อนนน.....ปกติถึงมากกก...)
จากสนามบิน จะมีรถตู้โดยสาร ไปด่านชายแดนหนองคาย คนละ 200 บาท (ถึงด่าน ตม.หนองคาย)
หรือใครจะเลือกนั่งรถตู้โดยสารไปลงที่สถานีขนส่งอุดร... แล้วเลือกนั่งรถ บ.ข.ส.ข้ามไปเวียงจันทร์
ก็ได้เหมือนกัน...
พอถึงด่านชายแดนหนองคาย ก็กรอกรายละเอียดเพื่อข้ามแดนไปฝั่งลาว
หลังจากประทับตราพาสปอร์ต เดินมาจะมีท่ารถข้ามไปฝั่งลาว มีทั้งแบบรถบัส หรือรถตู้
ค่ารถข้ามสะพานไปฝั่งลาว คนละ20 บาท
สภาพรถที่นั่งไป... พอดีรถคันนี้กำลังจะไปส่งของก็เลยได้ขึ้นคันนี้ออกเลย... ไม่ต้องรอคน
บรรยากาศภายในรถตู้ขนของ... ทั้งคันนั่งกันแค่3คน
รถกำลังวิ่งข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว จะเห็นว่ามีทางรถไฟอยู่เลนส์กลางด้วย...
ถึงฝั่งลาวก็กรอกเอกสารเข้าประเทศ แล้วเสียค่าธรรมเนียมบัตรคีย์การ์ด คนละ 40 บาท เพื่อที่จะเข้าสู่สปป.ลาว
แลกเงินที่ธนาคารตรงหน้าด่านเลยก็ได้ หรือจะเข้าไปแลกในเมืองก็ได้ตามสะดวก
พอออกจากด่านลาว จะมีรถตู้ รถสามล้อ มาติดต่อเหมาคันไปส่ง... ตามที่ต่างๆ ในเมือง
แต่เราเลือกที่จะนั่งรถเมล์โดยสารเข้าไป ส่งสุดสายถึงตลาดเช้า คนละประมาณ 40 บาท
*อัตราเงินที่นี่ 10,000 กีบ คิดคำนวน ตัด 0 หลังไปสามตัว เหลือ 10 คูณด้วย 4 ก็จะได้ 40
ก็เท่ากับประมาณว่า 10,000 กีบ จะเท่ากับเงินไทย ประมาณ 40 บาท (แล้วแต่ช่วงอัตราแลกเปลี่ยนของช่วงนั้น)
ที่นี่รับทั้งเงินไทย และเงินดอลลาห์ แต่จะให้คุ้ม ใช้เป็นเงินกีบก็จะดี เพราะของบางอย่างถ้าราคา
ไม่สูง ถ้าจ่ายเป็นเงินไทยก็จะโดนปัดเศษขึ้น
รถเมล์ใหม่เอี่ยม แอร์เย็นสบาย
ถึงตลาดเช้า ก็จะมีคนขับรถสามล้อมารุมถาม...
ตรงนี้เลือกให้ดี... หาต่อรองราคารถให้ถูกใจ เพราะอาจโดนโก่งราคาได้ (เที่ยวต่างแดนโดนโขกราคาบ้าง ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์...)
เราสามารถเลือกได้ว่าจะเที่ยวรูปแบบไหน จะเลือกนั่งรถเมล์เที่ยว หาเช่าจักรยานปั่นรอบเมือง
หรือจะเหมาสามล้อเครื่อง ก็ตามความชอบของแต่ละคน...
เราเลือกเหมาจ้างรถสามล้อเครื่องเที่ยวรอบเมือง... ตกลงราคากันเสร็จเรียบร้อยก็ไปกัน...
(ราคาเหมาเที่ยวรอบเมือง ประมาณ 500 บาท แล้วแต่สถานที่ ที่จะไป ว่าไปกี่ที่)
"กองทัพต้องเดินด้วยท้อง..." พี่น้อย คนขับรถสามล้อบอก
แล้วก็พามากินร้านเฝอ ชื่อดัง ร้านเฝอแซบ
ร้านนี้คนมากินไม่ขาดสาย ขนาดพี่สรยุทธ ยังมา (สนนราคาชามละ 80 บาท) แอบแพง...
แต่ที่นี่ขอบอกว่าราคาอาหารค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับบ้านเรา ทั้งๆ ที่ของส่วนใหญ่เป็นสินค้าจากไทยทั้งนั้น
ที่แรกคือประตูชัย... สัญลักษณ์ของประเทศลาว
ถ่ายรูปกับพี่น้อยคนนำเที่ยวในครั้งนี้...
เราขึ้นไปด้านบนของประตูชัย... เสียค่าเข้า 3000 กีบ หรือประมาณ 12 บาท
ขึ้นมาด้านบนจะมีร้านขายของที่ระลึก
บรรยากาศวิวด้านบนของประตูชัย
วิวอีกฝั่งหนึ่ง...
ที่นี่มีความเชื่อ...ว่า ถ้าใครเดินขึ้นมาถึงชั้นบนสุดของประตูชัย จะได้แต่งงานกับคนลาว
"อันนี้ไม่รู้จริงเท็จประการใด... ถ้าอยากรู้ต้องลองขึ้นไปกันดู"
สถานที่ต่อมาวัดพระธาตุหลวง (ทาดหลวง)
เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองลาว และถือเป็นสถานที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของเวียงจันทน์
ประมาณว่าใครมาไม่ถึงที่นี่ จะเรียกว่ามาไม่ถึงเลยก็ว่าได้
พระธาตุหลวง
กราบไหว้ ขอพร สิ่งศักดิ์สิทธิ์...
ขนาดเด็กน้อยที่นี่ยังเข้าวัด
บริเวณด้านข้างวัดพระธาตุหลวง จะมีพระนอนองค์ใหญ่
สถานที่ต่อมาคือ...หอพระแก้ว
ที่นี่ก็เป็นสถานที่ศักดิ์ศิทธิ์ ที่ชาวลาวนับถือกัน
ภายในโบสถ์ห้ามถ่ายภาพ และต้องสำรวม *ขอแนะนำให้แต่งกายสุภาพมาเที่ยว
เสียค่าเข้าชมคนละ 5000 กีบ หรือประมาณ 20 บาท
เห็นชาวบ้านที่มาที่วัดเอามือลูบองค์พระแล้วอธิษฐานขอพร (จะสังเกตุว่าที่องค์พระจะมีความมัน วาว ทุกองค์)
ที่สุดท้ายคือ...วัดสีเมือง
เห็นพี่น้อยว่า เป็นเหมือนศาลหลักเมืองของเวียงจันทน์
(ไม่ได้ถ่ายภาพภายในมา)
สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเวียงจันทน์ ก็จะเป็นวัดวาอารามหลวง ต่างๆ ซึ่งคนลาวจะมีความเคารพและศรัทธาสูง...
ซึ่งภายในตัวเมืองรอบๆ ก็จะมีอาคาร ห้างร้าน เริ่มเยอะขึ้น ตามกระแสโลกที่เปลี่ยนไป แต่สิ่งหนึ่งที่คู่กันของคนลาว ในเวียงจันทน์ ก็คือวัดต่างๆ ที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เพราะเท่าที่ไปทุกวัดจะเห็นคนลาวเข้าวัดกันมาก ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือวัยรุ่น และคนสูงอายุ... ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดี ที่คนลาวเองยังคงอนุรักษณ์ โบราณสถาน และขนบธรรมเนียมอันดีงามนี้มาตลอด...
ก็เป็นอันครบสถานที่เที่ยวหลักๆ ที่เป็นไฮไลท์... ของตัวเมืองเวียงจันทน์ ซึ่งจริงๆ ยังมีอีกหลายที่มาก ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม แต่ด้วยเวลาอันจำกัดของเรา ที่ไม่สามารถไปที่อื่นๆ ที่น่าเที่ยวได้อีกเพราะมีโปรแกรมต้องเดินทางต่อ... ไปเมืองอื่นอีก
แล้วก็ถึงเวลาต้องโบกมือลาพี่น้อย...(ขอบใจหลาย...)
และเราก็ต้องออกเดินทางกันต่อไปเอง... let's go
เดินเที่ยวชมเมืองมาจนเหนื่อย มาแวะหาของอร่อยกินต่อ กับร้านนี้
ร้านเวียงสะหวันแหนมเนือง
ที่นี่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย ต่างชาติ และคนพื้นที่ ก็มากินกันไม่ขาดสาย
รับรองว่าเด็ดจริง
แล้วมาต่อกันที่ร้านกาแฟยอดนิยมของที่เวียงจันทน์... ร้านโจมา (มีหลายสาขาทั้งที่เวียงจันทร์และหลวงพระบาง) กาแฟลาวคั่วบดหอมกรุ่น กับเค๊กหอมหวาน ลองแวะมาชิม...
บรรยากาศยามเย็นในตัวเมืองเวียงจันทน์
ที่นี่เงียบสงบ ไม่วุ่นวายมาก และที่สำคัญรถก็ไม่ติดเหมือนในกรุงเทพฯ ด้วย 555
เราเดินต่อมาเรื่อยๆ จนถึงริมโขง...
ระยะทางในตัวเมืองเวียงจันทน์ บริเวณรอบตัวเมืองสามารถเดินถึงกันได้หมด ไม่ต้องนั่งรถก็ได้ (เมื่อยนิดหน่อย)
ถ้าอยากสัมผัสบรรยากาศ เดินดูวิวทิวทัศน์ ตึก ราม บ้านช่อง ก็เดินตะลุยกันได้
มาถึงแล้ว ริมโขง
ช่วงที่ไปบริเวณแม่น้ำโขงแห้ง จนคนลงไปเดินเล่นได้
และที่เห็นฝั่งตรงข้ามก็เป็นฝั่งไทย จ.หนองคาย
ช่วงเย็นคนเวียงจันทน์ก็จะมาเดินเล่นบริเวณริมโขง... มีทั้งลานออกกำลังกาย หรือจะมานั่งพบปะสังสรรค์กัน... มีทั้งเด็ก วัยรุ่น รวมถึงคนสูงอายุมาออกกำลังกายกัน
เสน่ห์ของที่นี่เค้าหละ...
ส่วนช่วงกลางคืนบริเวณริมโขงก็จะกลายเป็นตลาดนัด ซื้อของฝาก...
ลองชิมข้าวจี่ของเวียงจันทน์ดูหน่อย... เชฟตัวน้อย ช่วยแม่ขาย
รสชาติ อร่อยใช้ได้...
ขากลับที่พักเราแวะชิมอีกร้าน เป็นร้านติ่มซำ อยู่ข้างทาง
รสชาติโอเคอยู่... ขาไก่เปื่อยมาก
บรรยากาศยามค่ำคืนบริเวณเซ็นเตอร์พอยต์
ซึ่งที่นี่วัยรุ่นจะชอบมานั่งพบปะพูดคุยกันเป็นกลุ่ม... ข้อดีของวัยรุ่นที่มานั่งที่นี่คือ มานั่งกินน้ำผลไม้ปั่น หรือน้ำเต้าหู้... ไม่ค่อยเห็นมีใครกินเหล้าเบียร์... ถือว่าดีมากก...
หลายๆ คนที่มาเที่ยวลาว อาจะมาแวะที่เวียงจันทร์ แล้วค่อยเดินทางไปต่อที่เมืองอื่นๆ หรือ จะเป็นแค่ทางผ่าน เพราะอาจจะคิดว่า เมืองเวียงจันทร์มีแต่วัด ไม่ค่อยมีที่เที่ยว...
แต่เท่าที่เราสัมผัสเมืองหลวงแห่งนี้ก็มีสถานที่ท่องเที่ยว ให้ศึกษาถึงวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ รวมถึงวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ ที่ๆ เป็นบ้านพี่เมืองน้องกันคนไทย บางทีความสนุกของการมาเที่ยวอาจไม่ใช่แค่มีสถานที่ให้ช็อปปิ้งหรือสถานความบันเทิงพักผ่อนหย่อนใจ แต่บางทีเสน่ห์เล็กๆ น้อยๆ ของผู้คน ต่างบ้าน ต่างเมือง ก็มีความน่ารักให้ผู้คนที่มาท่องเที่ยวหลงไหล เป็นความสุขอีกแบบที่ได้เดินทางมาพบเห็น...
หลังจากเดินเที่ยวรอบเมืองในเวียงจันทน์มาเต็มวัน จนเมื่อยขา เราก็กลับที่พัก สลบเหมือด...
เตรียมออกเดินทางต่อไปหลวงพระบางในวันรุ่งขึ้น....
ราตรีสวัสดิ์ เวียงจันทน์...